ยลนครวัด และออกรอบท่ามกลางรอยแห่งอารยธรรม
“ See Angkor Wat and Die” ประโยคนี้ผมเชื่อว่าคุณคงได้ยินมาบ้างแล้ว มันเป็นประโยคอมตะของอาโนลด์ ทอยน์บี นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ที่กล่าวไว้หลังจากได้ยลโฉมของ นครวัด (Angor Wat) โบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศกัมพูชา และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งความหมายของมันก็คือ “ยลนครวัดแล้วตายตาหลับ คือถ้ายังไม่ได้มาชมอย่าเพิ่งตายเป็นอันขาด” ซึ่งเป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งที่ผมจะเล่าให้คุณฟัง เกี่ยวกับการเดินทางไปเยือน ประเทศกัมพุชา ของผมในทริปนี้
ความจริงแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน ผมเองก็มีโอกาส เดินทางไปเมืองเสียมเรียบ เมืองมรดกโลก ของประเทศกัมพูชา และชมปราสาทนคร ซึ่งเป็นความประทับใจในครั้งแรกที่ได้สัมผัส ครั้งนี้ผมได้รับเชิญจากทาง นสพ. กอล์ฟไทม์ ผู้จัดการแข่งขัน Chang Isuzu Amateurs Championship 2014 Presented By SaRa ซึ่งเขาไปจัดสนามสุดท้ายของการแข่งขันรอบโบนัสพิเศษ โดยนำผู้ชนะเลิศและผู้โชคดี ในแต่ละสนามรอบคัดเลือกรวม 20 สนาม เดินทางไปออกรอบ ณ สนามกอล์ฟโภคีธรา และทัศนศึกษา ณ นครวัด-นครธม เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ผมจึงไม่รีรอที่จะตอบรับไปร่วมทริปในครั้งนี้อย่างเต็มใจ
จุดเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้เราเดินทางโดยรถทัวร์ของนครชัยแอร์ ที่ทางผู้จัดเหมารถ 4 คันพาพวกเราเดินทาไปผ่านพรมแดนไทย-กัมพูชา ทางด่านพรมแดนคลองลึก (ปอยเปต) อ.อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ใช้เวลาจากกรุงเทพประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ครับ หลังจากผ่านเรื่องขั้นตอนเอกสารเข้าประเทศแล้ว เราเดินทางกันต่อด้วยการเปลี่ยนรถบัสครับ เดินทางไปตามถนนสาย 5 ปอยเปต –พนมเปญ ระยะทาง 150 กิโลเมตรถึงเมืองเสียมเรียบที่ตั้งนครวัด-นครธม
แม้จะเป็นถนนลาดยาง ที่มีบางช่วงที่สภาพถนนไม่ดีบ้าง แต่เราก็ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นก็ถึง สนาม โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ เมืองเสียบเรียบ ในเครือไทยนครพัฒนา ซึ่งณ สนามกอล์ฟแห่งนี้เมื่อครั้งแรกที่ผมมาเสียมเรียบผมก็ยังไม่มีโอกาสได้ลงไปทดสอบออกรอบเลย โดยเป็นการออกแบบของนักออกแบบสนามกอล์ฟคนไทยชื่อดัง อย่าง พลเอกพลโทวีระยุทธ เพชรบัวศักดิ์ ได้เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2547 เป็นสนามมาตรฐาน 18 หลุม พาร์ 72 ระยะหมุดโปร 7,145 หลา ระดับแชมเปี้ยนชิพ และได้รับเกียรติให้เป็นสังเวียนสำหรับ “จอห์นนี่ วอร์คเกอร์ แคมโบเดีย โอเพ่น” รายการกอล์ฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ กัมพูชา โดยจัดครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2007
เมื่อได้สัมผัสแล้วลองออกรอบที่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ แล้วผมสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของสนามแห่งนี้ที่แตกต่างจากที่อื่นครับ เพราะการตั้งอยู่บนพื้นที่ประวัติศาสตร์อารยธรรมโบราณ มีสิ่งสำคัญที่นำมาเป็นสัญลักษณ์ของสนามนั่นคือ สะพานโบราณที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรตที่ 11 เรียกกันว่า โรโลธ (Loruh) อยู่ในเส้นทางเชื่อมระหว่างเมืองนครวัดกับเมืองพิมาย พร้อมทั้งยังมีโบราณสถานอีกมากมายที่ยังไม่ถูกขุดคุ้นในบริเวณใกล้เคียง ทำให้การมาออกรอบเล่นกอล์ฟที่นี่ นอกจากจะได้สัมผัสกับเกมกีฬาในยุคใหม่แล้ว ท่านยังจะได้รับความรู้สึกถึงมนต์ขลังในอดีตอันรุ่งเรืองของชาวกัมพูชาอีกด้วย จนทางสนามได้ตั้งสโลแกนไว้ว่า “Tee-Off 11th Century and finish the round back to 21st Century” ซึ่งผู้ที่ได้ไปสัมผัสก็จะรู้สึกเช่นที่ว่านี้จริงๆ
ด้านจุดเด่นหรือความท้าทายในการเล่นกอล์ฟของที่นี่น่าจะเป็น “โภคีธรา คอร์เนอร์” ในหลุม 15,16,17 และ 18 ที่ได้ไอเดียมาจากสนามออกัสต้า “เอเมน คอร์เนอร์” โดยเฉพาะหลุม 18 เป็นการปิดท้ายรอบด้วยความท้าทาย ผู้เล่นต้องคิดอย่างหนักว่า จะสู้ หรือ จะวาง เพราะอุปสรรคเตรียมดักไว้อย่างครบๆ ทั้งป่า น้ำ ทราย สมกับที่ตั้งให้เป็น ซิกเนเจอร์โฮล จนได้รับรางวัล Best new course in Asia 2008 จาก Asian Golf Monthly
หลังจากสัมผัสกับสนามกอล์ฟอันยอดเยี่ยมลำดับต้นๆ ของประเทศนี้แล้ว ต่อจากนี้ก็เป็นเวลาพักผ่อนแล้วครับ สำหรับทริปนี้ผมได้พักที่ โรงแรมโซฟิเทล โภคีธรา เสียมราฐ โรงแรมหรูระดับ 5 ดาวของเสียมราฐ และเป็นผู้สนับสนุนสำคัญของการแข่งขัน Chang Isuzu Amateurs Championship 2014 ต้องบอกเลยว่าเป็นโรงแรมที่พักที่สมบูรณ์แบบแทบทุกจุด ทั้งความสวยงาม การบริการ ความสะดวกสบาย และอาหารที่อร่อยถูกปากคนไทยอย่างพวกเรากันด้วยครับ และด้วยความเป็นโรงแรมของคนไทย พนักงานที่นี้หลายคนสื่อสารภาษาไทยกับเราเข้าใจนะครับ
วันรุ่งขึ้นของการเดินทางทริปนี้ คือการไปชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางวประวัติศาตร์ของกัมพูชา นั่นก็คือ นครวัด-นครธม หรือที่ภาษาท้องถิ่นอ่านว่า อังกอร์วัด-อังกอร์ธม แต่ด้วยเวลาอันจำกัด ทริปนี้เราอาจจะเที่ยวไม่ครบทุกปราสาท เลยเลือกเฉพาะปราสาทที่น่าสนใจและการเดินทางไม่ไกลมากในนครธม นั่นก็คือ ปราสาทบายน นครธม ซึ่งอยู่ใจกลางนครธมเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างนครธมขึ้นเมื่อยุคพุทธศตวรรษที่ 18 เพื่อเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร
ซึ่งที่ปราสาทบายนนี่ ต้องบอกเลยว่าเป็นปราสาทในนครธมที่ผมและนักท่องเที่ยวหลายๆ คนชอบมากที่สุด เพราะนอกจาความอัศจรรย์จากเป็นปราสาทที่มีปรางค์ อยู่บนชั้น 2 และ 3 จากเดิมที่เคยมือ 54 ปรางค์ ปัจจุบันเลหือ 37 หน้าและในแต่ละปรางค์มีหน้าทั้ง 4 หน้า 4 ทิศ รวมแล้วก็ป็นประมาณ 200 หน้าครับ ผมเองก็ไม่ได้นับเหมือนกัน มัวเพลิดเพลินกับการถ่ายรูป ซึงแต่ละใบหน้านั่นดูมีลักษณณะเป็นรอยยิ้ม มีความรู้สึกเหมือนมีตาคอยจองมองผมอยู่ทุกทิศทาง ขณะเดียวกัน ระเบียงจะมีเสาหินเรียงรายสองข้าง และมักมีรูปสลักนูนต่ำของนางอัปสรอยู่ รวมทั้งรูปสลักภาพประวัติความเป็นมาและสังคมในสมัยนั้น เช่น การรบระหว่างขอมกับจาม
เสร็จจากเที่ยวชมนครธมแล้ว ช่วงบ่ายก็เป็นเวลาดีที่เราจะไปเยือนนครวัด ว่ากันว่าที่นี่คือแลนด์มาร์คหรือสัญลักษณ์ของเสียมเรียบและประเทศกัมพูชา อย่างที่บอกครับนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของผมที่มาที่นี่ ความรู้สึกมันจึงไม่ตื่นเต้นมาครั้งก่อน แต่เป็นครั้งที่ผมยืนหลับตานึกถึงความรุ่งเรืองของอณาจักรขอมในอดีตขึ้นมาได้ลึกซึ้งกว่าครั้งแรก
อณาเขตกว่า 1,219 ไร่ หรือราว 200,000 ตารางเมตร ของนครวัดนั้นเป็นศาสนสถานที่สร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 พ.ศ.1656-1693 ทรงสร้างปราสาทนครวัดเป็นเทวาลัยบูชา และให้เป็นที่เก็บพระศพของพระองค์ นครวัดจึงแตกต่างกับปราสาทอื่นๆ ตรงที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศของผู้ตาย แทนทิศตะวันออก แต่ทว่ากว่าจะใช้เวลาสร้างเสร็จนั่นก็ร่วมเป็นร้อยปี
กว่าจะเป็นปราสาทนครวัดที่เราเห็นอลังการและยิ่งใหญ่ขณะนี้ได้นั่น ต้องใช้หินปริมาตรหลายล้านลูกบาศก์เมตร มีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก ใช้แรงงานช้างนับหมื่นเชือก แรงงานคนนับแสน ขนและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลนชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร มาสร้างปราสาทนครวัดมีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน และเพราะไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถาน ยังเป็นราชธานีด้วย อาณาบริเวณจึงกว้างใหญ่ไพศาล มีความยาว 1.5 กิโลเมตร กว้าง 1.3 กิโลเมตร มีแผนผังที่ถือเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลัง ตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติฮินดู คือเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล คูน้ำล้อมรอบตามแบบมหาสมุทรล้อมเขาพระสุเมรุ
ส่วนรายละเอีดอื่นๆ ผมขออณุญาตไม่ลงลึกคิดว่าท่านน่าจะหาข้อมูลทั่วไปได้ไม่ยาก แต่ที่ผมอยากจะบอกก็คือสิ่งที่ผมประทับใจสำหรับนครวัดแห่งนี้ นั่นก็คือ กำแพงชั้นนอกรอบปราสาทแสนสุดอลังการด้วยงานสลักหิน เหนืออื่นใดคือภาพเล่าวรรณคดี รามายณะ รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดคือรูปเทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ รวมถึงนางอัปสร หรืออัปสรา 1,635 นาง ที่ทั้งหมดทรงเครื่องและทรงผมไม่ซ้ำกันเลย ซึ่งมันแทบไม่น่าเชื่อว่า ผ่านมาหลายศตวรรษจากยุคขอมรุ่งโรจน์ นครวัดถูกทิ้งร้างให้ป่ารกปกคลุม กระทั่งการเดินทางมาของคนต่างถิ่นและแจ้งเกิดสู่โลกภายนอก และมันคือองค์ความรู้ในการก่อสร้างทั้ง วิศวกรรมศาสตาร์และศิลปศาสตร์บ่งบอกอารยธรรมของภูมิภาคนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ
นอกจากความประทับใจในสนามกอล์ฟ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ โรงแรมโซฟิเทล โภคีธรา เสียมราฐ และนครวัด-นครธม แล้ว การเดินทางเที่ยวนี้ผมยังได้สัมผัสถึงบรรยากาศทั่วไปของผู้คนชาวกัมพูชา ทั้งระหว่างทางที่เราแวะซื้อของ หรือ ในเมืองเสียมเรียม ทั้งย่านช็อปปิ้ง และตามร้านอาหารที่เราไป ผมว่าแม้ความเจริญหรือการพัฒนาของที่นี้ยังไม่เติบโตนัก แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อหลายปีก่อน ยิ่งถ้าเปิดประชาคมอาเซียน หรือ AEC เมื่อไร เส้นทางจากปอยเปตไปพมเปญโดยผ่านเมืองเสียบเรียบยิ่งน่าสนใจครับ
ผมคิดว่าสำหรับใครที่มีเวลาพอในการท่องเที่ยวหลายๆ วัน อาจจะ 4-5 วันขึ้นไป ท่านอาจจะลองใช้เส้นทางมาเที่ยวและออกรอบที่เสียมเรียบแบบที่ผมนี่ก็ได้นะครับ ทั้งรถส่วนตัวหรือจะมาด้วยรถโดยสารผมว่าก็สะดวกอยู่นะครับ สำหรับสนามกอล์ฟนอกจาก โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ ในเมืองนี้ยังมีอีก 2 สนามให้ท่านได้ลองสัมผัส ส่วนการท่องเที่ยว นอกจากนครวัด-นครธมแล้ว ยังมีตวนเลสาป ทะเลสาปน้ำจึดที่ใหญ่ที่สดในอาเซียน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจครับ
สุดท้ายผมคิดว่าการเดินทางมา กัมพูชา ที่เมืองเสียมเรียบเที่ยวนี้ ผมได้เห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเยอะครับ และผทคิดว่า หากเราอยากให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้เติบโต มันน่าจะเติบโตไปด้วยกัน เราควรจะเปลี่ยนมุมมองกับเพื่อนบ้านใหม่ หันมาจับมือร่วมกันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อนาคตไม่รู้ว่าผมจะกลับมาเยือนที่นี้อีกทีเมื่อไร แต่ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน